การรักษามะเร็งของเต้านมโดยทั่วไปขึ้นกับระยะของโรคแต่การรักษาที่ทำก่อนได้แก่การผ่าตัดเอาเต้านมออก โดยการผ่าตัดจะตัดเต้านมผิวหนังบริเวณเต้านมและหัวนมออกการตัดเต้านมยังจะเป็นการรักษามาตรฐานของ มะเร็งเต้านม การตัดเต้านมออกมีผลต่อจิตใจของคนไข้และลดความมั่นใจในการกลับไปเข้าสังคม จึงมีผู้หญิง หลายคนเลือกที่จะผ่าตัดทำเต้านมใหม่เพื่อรักษารูปร่างและสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงไว้และการที่มีเต้านม ที่ถูกตัดก็จะเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงความร้ายแรงของมะเร็งเต้านมและความเจ็บปวดในการรักษาตัวการที่ กลับมามีหน้าอกอีกครั้งช่วยให้ลดความกังวลและลบภาพของ สัญลักษณ์ของโรคร้ายที่ติดตัวหลังผ่าตัดช่วยให้ ผู้ป่วยมีกำลังใจหลังจากรักษาตัว
เทคนิคการผ่าตัดเพื่อเสริมสร้างเต้านมได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจนดีขึ้นมากในปัจจุบัน การเสริมสร้างอาจทำได้โดยการใช้เนื้อเยื่อของคนไข้หรือการเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านม เทคนิคทั้ง 2 แบบมีรายละเอียดแตกต่างกัน ในที่นี้กล่าวถึงเทคนิคทั้งสองแบบ เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ใช้มากพอๆกัน แต่จะเน้นในเรื่องการเสริมโดยใช้ถุงซิลิโคนมากกว่า เนื่องจากเป็นหัวข้อสำคัญของเว็บไซด์นี้
เวลาที่เลือกทำผ่าตัดเสริมสร้างหน้าอกที่ตัด การเลือกที่จะผ่าตัดเสริมสร้างหน้าอกทันทีหรือทำภายหลังมักขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการตัดสินใจ ของแต่ละบุคคลนอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับระยะของโรคการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมจะทำก็ต่อเมื่อโรคมะเร็งหาย ได้จากการผ่าตัด อาจเสริมสร้างเต้านมอาจทำทันทีหลังการตัดเต้านมหรือทำภายหลังการตัดเต้านมอาจจะเป็น อาทิตย์ เป็นเดือน หรือเป็นปี ในอดีตศัลยแพทย์ที่รักษามะเร็งมักจะมีความเห็นว่าการผ่าตัดเสริมสร้างหน้าอก ทันทีไม่ควรทำจนกว่าคนไข้จะได้รับ การฉายแสงหรือให้เคมีบำบัดแล้วในปัจจุบันเริ่มมีการยอมรับการผ่าตัด เสริมสร้างหน้าอกทันทีมากขึ้น โดยเฉพาะคนไข้ที่ไม่สามารถยอมรับกับการที่มีเต้านมเหลือเพียงข้างเดียวได้
1.การผ่าตัดทันทีหลังผ่าตัดเต้านม ข้อดี
- – ทำผ่าตัดครั้งเดียวกับการตัดเต้านมทำให้ไม่ต้องผ่าตัดและดมยาสลบ 2 ครั้ง
- – ลดค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัด 2 ครั้ง
- – ผลทางจิตใจดีเนื่องจากยังมีเต้านมอยู่ทั้ง 2 ข้าง
ข้อเสีย
- – ระยะเวลาผ่าตัดนานขึ้นอาจมีอาการข้างเคียงเพิ่มขึ้น
- – ระยะเวลาพักฟื้นนานขึ้น
- 2.การผ่าตัดภายหลัง
ข้อดี
- – มีเวลาหลังผ่าตัดนานพอที่จะเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสม
– หลังผ่าตัดครั้งแรกไม่ต้องดูแลแผลหรือรักษาแผลจากการเสริมสร้างเต้านมสามารถใช้เวลาทั้งหมดในการ รักษามะเร็งเต้านมหลังการผ่าตัดซึ่งตามปกติแล้วยังมีวิธีการอื่นๆที่ยุ่งยากและใช้เวลามากแล้วยังทำให้ร่างกาย อ่อนเพลียเช่น การฉายแสงหรือการให้เคมีบำบัดและหลังจากรักษามะเร็งเต้านมเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมาดู เทคนิคการนัดผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมทำให้ลดความเสี่ยงจากอาการข้างเคียงของการผ่าตัดเสริมเต้านมในครั้ง แรก ข้อเสีย
- – ต้องผ่าตัด 2 ครั้ง
– ค่าใช้จ่ายเมื่อรวมกันมากขึ้น เทคนิคการผ่าตัด – เทคนิคที่ใช้โดยทั่วไปมีหลายอย่าง การเลือกเทคนิคได้ขึ้นกับแต่ละบุคคลได้แก่ขนาดและรูปร่างของเต้านม – ส่วนของผิวหนังและเนื้อเยื่อที่เหลืออยู่ความต้องการและ ไลฟสไตล์ ของแต่ละคนโดยทั่วไป เทคนิคการเสริมสร้างหน้าอกแบ่งเป็น 2 วิธีดังนี้ 1.การใช้เนื้อเยื่อตัวเอง มีเทคนิคที่ใช้ 2 แบบคือใช้เนื้อเยื่อหน้าท้องหรือด้านหลังมาเสริมหน้าอก 2.การใช้ถุงเต้านมโดยอาจเลือกใช้ได้ทั้งถุง gel หรือถุงน้ำเกลือการเสริมหน้าอกในคนที่เป็นมะเร็งจะทำการ เสริมใต้กล้ามเนื้อเท่านั้น 1.การเสริมโดยใช้เนื้อเยื่อตนเอง ทำโดยการย้ายเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยผิวหนัง ,ไขมัน ,และกล้ามเนื้อที่มีเส้นเลือดไปเลี้ยงเต้านมการ ทำอาจยกเส้นเลือดโดยตรงหรือทำการตัดต่อเส้นเลือดโดยวิธีจุลศัลยกรรม เทคนิคที่มีการใช้กันบ่อยมีดังนี้ A.แทรม ( TRAM Flap) แทรมเป็นชื่อย่อของการยกกล้ามเนื้อที่มีเส้นเลือดไปเลี้ยงส่วนของผิวหนังพร้อมทำผิวหนังและไขมัน บริเวณหน้าท้องส่วนล่าง การผ่าตัดมีลักษณะคล้ายกับการตัดไขมันหน้าท้องแต่แทนที่จะทิ้งไขมันและผิวหนัง หน้าท้องไปก็ยกไขมันและผิวหนังหน้าท้องนี้ขึ้นมาเสริมหน้าอกโดยเอาเส้นเลือดที่เลี้ยงบริเวณนี้มาด้วย บางครั้งถ้าเส้นเลือดตึงเกินไปอาจต้องมีการตัดต่อเส้นเลือดโดยวิธีทางจุลศัลยกรรม วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีไขมันหน้าท้องมากการผ่าตัดจะช่วยลดไขมันที่หน้าท้องส่วนล่างช่วยให้รูปร่างดีขึ้น แต่ทำให้เกิดแผลเป็นยาวบริเวณส่วนล่างของหน้าท้องและทำให้ผนังหน้าท้องมีความแข็งแรงน้อยลง
 ข้อดี – ใช้เนื้อเยื่อตัวเอง ถ้าแผลหายเรียบร้อยแล้วในระยะยาวมักไม่มีปัญหา – หน้าท้องแบนราบขึ้น – สามารถใช้ในบางสถานการณ์เช่นแผลเป็นที่หน้าอกค่อนข้างใหญ่หรือผิวหนังบริเวณหน้าอกขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากผ่านการฉายแสง ข้อเสีย – เป็นการผ่าตัดใหญ่ทำให้ต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลนานขึ้น – เกิดแผลเป็นเพิ่มที่บริเวณหน้าท้องและเต้านมโดยที่บริเวณเต้านม เนื้อเยื่อที่ย้ายขึ้นไปจะมีสีแตกต่างจาก เนื้อเยื่อของเต้านมทำให้เห็นถึงความแตกต่าง – แทรมเหมาะกับคนที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วนและไม่ได้เล่นกีฬาเป็นประจำในคนที่ผอมมากๆวิธีนี้อาจไม่เหมาะ เนื่องจากบริเวณหน้าท้องมีเนื้อเยื่อค่อนข้างน้อยทำให้ไม่เพียงพอวิธีนี้เหมาะกับคนที่มีหน้าท้องพอสมควรจึง เหมาะกับคน ที่มีรูปร่างปานกลางถึงรูปร่างอ้วน แทรมไม่เหมาะกับคนที่ผ่าตัดหน้าท้องหรือมีปัญหาเกี่ยวกับ เส้นเลือดขนาดกลาง ดังนั้นในคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำอาจไม่เหมาะกับวิธีการนี้การผ่าตัด แทรมถือเป็นการ ผ่าตัดใหญ่ดังนั้น คนไข้ที่จะทำต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพอที่จะผ่าตัดใหญ่ได้ – ระยะเวลาผ่าตัดโดยทั่วไปในเวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง แล้วแต่ความยากง่ายต้องพักที่โรงพยาบาล 1-2 อาทิตย์ ไม่สามารถออกกำลังกายหนักๆได้ 6-8 อาทิตย์ แล้วการที่ผนังหน้าท้องบางส่วนถูกตัดออกไป ทำให้มีความ แข็งแรงลดลงอาจทำให้มีปัญหาในการเล่นกีฬาบางประเภทได้ ฺB. การใช้ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่หลัง ( Latissimus dorsi ) เป็นการย้ายกล้ามเนื้อและผิวหนัง ด้านหลังใต้เนื้อมายก บริเวณเต้านม โดยการย้ายเส้นเลือดและ เส้นประสาทที่เลี้ยงมาด้วย วิธีนี้ผิวหนังที่ได้จะบางกว่าแทรม และในบางครั้งอาจต้องทำร่วมกับการใส่ถุงเต้า นมเพื่อให้ได้รูปร่างสวยงาม  ข้อดี – ใช้เนื้อเยื่อของตัวเองไม่มีปัญหาในระยะยาว – ใช้ได้ในกรณีที่ผิวหนังบริเวณหน้าอกเป็นแผลจากการฉายแสง – ในกรณีที่ต้องการได้เต้านมใหญ่มากขึ้น ข้อเสีย – เวลาผ่าตัดนานขึ้นทำให้ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลและพักฟื้นนานขึ้น – มีแผลเป็นที่หลังและเต้านม – ผิวหนังที่ย้ายมาจะมีสีแตกต่างจากสีของผิวหนังของเต้านม การใช้กล้ามเนื้อหลังเหมาะกับคนที่ฉายแสงมากจนผิวหนังไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอโดยเฉพาะคนที่ ได้รับแสงจากการฉายแสงมาก ถ้าคนไข้ผอมมากไม่เหมาะจะใช้วิธีนี้เนื่องจากได้เนื้อเยื่อไม่เพียงพอการผ่าตัดนี้ ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่จะต้องทำในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงสามารถผ่าตัดใหญ่ได้และไม่มีปัญหาในเรื่องของเส้น เลือด ผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะไม่ควรเลือกใช้วิธีนี้ การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมงทำโดยดมยาสลบใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติหลังจาก 2-3 อาทิตย์หลังจากผ่าตัดอาจมีปัญหาเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อไหล่ได้ น้อยและขยับไหล่ได้ยาก แต่อาการมักเกิดชั่วคราวหลังจากผ่าตัดระยะหนึ่งกล้ามเนื้ออื่นๆสามารถทำงาน ทดแทนกล้ามเนื้อที่ตัดไปได้ 3.การใช้ถุงเต้านม ถุงเต้านมที่ใช้ในการเสริมสร้างถุงเต้านมอาจเลือกใส่ถุง gel หรือถุงน้ำเกลืออาจใช้เป็นผิวทรายหรือผิวเรียบ ถุง ผิวทรายเนื่องจากผิวจะมีเนื้อเยื่อชิดติดช่วยลดโอกาสการเกิดพังพืดหดรัด ถุงที่ใช้อาจเลือกถุงทรงกลม ซึ่ง ระยะแรกจะทำให้มีเนินหน้าอก แต่หลังจากในระยะหนึ่งทรงหน้าอกก็จะคล้อยลงทำให้เนื้อหน้าอกลดลงและ เป็นธรรมชาติมากขึ้นหรืออาจใช้ทรงหยดน้ำซึ่งจะมีรูปร่างเหมือนเต้านมธรรมชาติ เทคนิคการเสริมโดยใช้ถุงเต้านม แบ่งออกเป็น 3 วิธีโดยอาจแบ่งเป็น การผ่าตัดแบบ 1 ระยะหรือ 2 ระยะ ดังนี้ A.การผ่าตัดแบบระยะเดียว โดยไม่เพิ่มขนาดของถุงเต้านม เป็นวิธีที่ง่ายและใช้เวลาน้อยที่สุดแต่มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาในคนที่แผลผ่าตัดตึงมากอยู่แล้ว สำหรับ วิธีการนี้ ใช้แบบวิธีการผ่าตัดใส่ถุงซิลิโคนเอาไปใต้กล้ามเนื้อเลยโดยที่ไม่ต้องทำการใส่ถุงเพื่อขยายเนื้อเยื่อ ก่อน (Tissue expander ) การผ่าตัดจะทำได้ในกรณีที่ผิวหนังของเต้านมไม่มีแผลเป็นจากการฉายแสงมาก และไม่ตึงมาก กล้ามเนื้อหน้าอกยังไม่ถูกตัดออกไป วิธีนี้เหมาะกับเต้านมที่มีขนาดเล็ก การเปิดแผล ทำโดยเปิดแผลผ่านแผลเต้านมแล้วเปิดช่องใต้กล้ามเนื้อหน้าอกแล้วใส่ถุงเต้านมผ่านทาง ปากช่องว่างที่ทำไว้ หลังจากใส่ลายระบายน้ำเหลืองแล้วเย็บปิดแผล ข้อดี
- – เป็นวิธีผ่าตัดที่ง่าย
- ข้อเสีย
- – ไม่เหมาะกับเต้านมขนาดใหญ่
– ไม่มีแผลเป็นเพิ่ม B.การผ่าตัดแบบ 2 ระยะ โดยการขยายเต้านมก่อน ในกรณีที่ผิวหนังบริเวณเต้านมที่ตัด ค่อนข้างตึงมาก จะไม่สามารถใส่ถุงเต้านมได้ทันทีจำเป็นต้องใช้การ ขยายเต้านมก่อน การขยายเต้านมทำโดยการใส่ลูกโป่งขยายเต้านม ( Tissue expander )เข้าไปในช่องว่างใต้ กล้ามเนื้อหน้าอกแล้วค่อยๆฉีดน้ำเกลือเข้าไปในลูกโป่ง ให้มีการขยายช่องว่างและทำให้ผิวหนังหน้าอกขยาย ขึ้น โดยทำการฉีดเพิ่มขนาดประมาณ อาทิตย์ละครั้ง จนได้ขนาดเท่าที่ต้องการเป็นการเพิ่มขนาดของช่องว่างให้ สามารถใส่ถุงเต้านมจริงได้หลังจากขยายช่องว่าง 1-2 เดือน จะทำการผ่าตัดเอาลูกโป่งที่ขยายเนื้อเยื่อออกแล้ว ใส่ถุงเต้านมเข้าไปแทน วิธีการนี้ต้องทำการผ่าตัด 2 ครั้ง แต่แผลผ่าตัดผ่าตามแผลเดิมคือแผลตัดเต้านมการ ผ่าตัดทำเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 ลงแผลตามแผลตัดเต้านมเดิมเปิดช่องว่างหลังกล้ามเนื้อหน้าอกใส่ลูกโป่งขยายเนื้อเยื่อไว้ใน ช่องว่างและ วางตำแหน่งของพอร์ตสายฉีดน้ำเกลือไว้ในตำแหน่งที่ติดกับผิวหนัง พอร์ตสำหรับการฉีดน้ำเกลือจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เติมน้ำได้โดยเป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้เข็มฉีดยาเจาะ แล้วฉีดน้ำเกลือโดยพอร์ตจะต่อกับลูกโป่งโดยสายยางเล็กๆในการผ่าตัดครั้งแรกจะวางพอร์ตไว้ในตำแหน่งที่ สามารถฉีดน้ำเกลือได้ง่าย หลังจากนั้นจะฉีดน้ำเกลือเล็กน้อยแล้วเย็บ ปิดแผลหลังผ่าตัดครั้งแรก 2 อาทิตย์ อาจ ทำการตัดไหมและเติมน้ำเกลือทุก 1 อาทิตย์การเติมน้ำเกลือทำโดยใช้เข็มขนาดเล็กไม่เจ็บมากแต่หลังเติมจะมี ความรู้สึกตึงๆประมาณ 1-2 วันเนื่องจากผิวหนังที่ตึงระหว่างนี้อาจใช้ lotion หรือครีมทาผิวหนังที่ตึงก็จะช่วยให้ ผิวหนังนิ่มขึ้นหลังจากการยืดการขยายผิวหนังใช้เวลาประมาณ 4-8 อาทิตย์ หลังจากการหยุดฉีดน้ำเกลือทิ้ง ลูกโป่งไว้ก่อนผ่าตัดอีกครั้งประมาณ 2-3 เดือนเพื่อให้ผิวหนังไม่หดกลับ ระยะที่ 2 4-6 เดือน หลังการผ่าตัดครั้งแรก เป็นการผ่าตัดเอาลูกโป่งขยายเนื้อเยื่อออกแล้วใส่ถุงเต้า นมจริงเข้าแทนที่โดย 
- วิธีการนี้มีข้อดี
– ไม่มีแผลเป็นเพิ่ม – ไม่เป็นการผ่าตัดใหญ่ – ใช้เวลาผ่าตัดสั้นกว่าการใช้เนื้อเยื่อตัวเอง ข้อเสีย – ต้องผ่าตัด 2 ครั้ง – ต้องกลับมาเติมน้ำเกลือทุกอาทิตย์ – การเติมน้ำเกลือไม่ทำให้เจ็บปวดมากแต่ทำให้เสียเวลามาก วิธีนี้เหมาะกับผิวหนังและเนื้อเยื่อ บริเวณเต้านมต้องอยู่ในสภาพดีไม่ถูกทำลาย โดยการฉายแสงไปมาก ดังนั้นในคนที่ฉายแสงมากและใช้เวลาฉายแสงนานไม่ควรเลือกวิธีนี้ วิธีนี้เหมาะกับคนที่เลือกการผ่าตัดทันที หลังการตัดเต้านมเหมาะกับเต้านมที่มีขนาดเล็ก ถึงกลางๆ , ถ้าต้องการเต้านมขนาดใหญ่อาจต้องใช้เนื้อเยื่อ ตัวเองร่วมกับการใส่ถุงเต้านม ระยะเวลาการผ่าตัด ในครั้งแรกคือการใส่ลูกโป่งขยายเนื้อเยื่อใช้เวลา 1 -2 ชั่วโมงการผ่าตัดเปลี่ยนถุง ลูกโป่งขยายเนื้อเยื่อ เป็นถุงเต้านมก็ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงเช่นกัน หลังผ่าตัดนอนพักในโรงพยาบาล ประมาณ 2 - 3 วัน การจะเลือกเทคนิคใดขึ้นกับสุขภาพร่างกายและสภาพผิวหนังบริเวณหน้าอกรวมทั้งการผ่าตัดเต้านมที่ต้อง ตัดบางส่วนหรือตัดออกทั้งหมด C.การผ่าตัดระยะเดียวโดยใช้ถุงเต้านมชนิดที่ขยายได้
- มีการผลิตถุงเต้านมแบบพิเศษที่ขยายได้โดยมักจะมี
ลักษณะเหมือนลูกโป่งขยายเนื้อเยื่อด้วย บริเวณถุงจะมีวาล์วบริเวณด้านหลังและจะมีท่อต่อเป็นสายยางเล็ก ออกมาจากบริเวณด้านหลังของถุงปลาย ปลายสายยางต่อกับพอร์ตซึ่ง จึงเป็นอุปกรณ์เติมน้ำเกลือ ถุงขยายได้ เป็นถุงที่ออกแบบมาสำหรับใช้กับคนไข้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอกหลังการตัดเต้านมโดยเฉพาะมีแบบให้เลือก 2 แบบคือ 1.เบคเคอร์( Becker’s )คือถุงชนิด gel ที่สามารถขยายได้เป็นถุงที่มี 2 ชั้น ชั้นนอกเป็นซิลิโคน gel ส่วนชั้นใน เป็นน้ำเกลือในส่วนที่เป็นน้ำเกลือจะเป็นส่วนที่ขยายได้โดยการเติมน้ำเกลือให้ได้ปริมาณตามต้องการถุงเบค เคอร์เป็น 2 แบบ ตามปริมาณ gel ที่ใส่ในชั้นนอกถ้าพูดง่ายๆถุงเบคเคอร์ก็คือถุง gel ที่สามารถขยายได้โดยตัว ที่ขยายคือน้ำเกลือที่อยู่ในแกนกลางของถุง
- 2.สเปคตรัม ( Spectrum ) เป็นถุงน้ำเกลือที่สามารถขยายขนาดได้ เป็นถุงเต้านมแบบชั้นเดียวผลิตออกมาเป็น
ถุงเปล่าในระหว่างการผ่าตัดต้องมาบรรจุน้ำเกลือบางส่วนมีลักษณะเช่นเดียวกับลูกโป่งขยายเนื้อเยื่อคงมีสายต่อ ออกจากถุงมายังพอร์ตซึ่งเป็นอุปกรณ์เติม น้ำเกลือความแตกต่างจากลูกโป่งขยายเนื้อ เยื่อตัวสายยางที่ยึดติดกับถุงจะสามารถ กระตุกออกได้ในขณะที่สายยางของลูกโป่ง ขยายเนื้อเยื่อจะติดกันไม่สามารถดึงออกได้ มักมีคำถามที่ตามถุงสเปคตรัมแตกต่างกับ ถุงน้ำเกลือธรรมดาอย่างไร จะใช้ถุงน้ำเกลือ ธรรมดาแทนได้หรือไม่คำตอบก็คือ ถุงสเปคตรัมมีวาล์วเติมน้ำเกลืออยู่บริเวณ ด้านหลังขณะที่ถุงน้ำเกลือธรรมดาวาล์วจะอยู่ ด้านหน้าเนื่องจากสายยางเติมน้ำเกลือ ของถุงสเปคตรัมต้องเก็บไว้เป็นเวลานาน หลายเดือนจึงออกแบบให้อยู่ด้านหลังเพื่อ ไม่ให้มองเห็นหรือคลำได้จากด้านหน้า แต่จะมีปัญหาในการไล่ฟองอากาศเนื่องจาก วาล์วอยู่ด้านหลังถ้ามีฟองอากาศจะดูดไล่ฟอง อากาศได้ยาก จึงต้องพยายามอย่าให้เกิด ฟองอากาศเข้าไปในถุงเต้านมโดยก่อนฉีด น้ำเกลือต้องดูดฟองอากาศก่อนทุกครั้ง ถุงสเปคตรัมและเบคเคอร์เป็นถุงเต้านมที่ทำ หน้าที่เป็นทั้งลูกโป่งสำหรับขยายเนื้อเยื่อและเป็นถุงเต้านมในเวลาเดียวกัน ดังนั้นแทนที่จะต้องทำผ่าตัดใหญ่ 2 ครั้ง ก็ทำผ่าตัดใหญ่เพียงครั้งเดียวและที่เหลือก็เป็นผ่าตัดเล็กที่สามารถฉีดยาชาทำได้เช่น การผ่าตัดเอาพอร์ตออกหรือ การผ่าตัดทำหัวนมการผ่าตัดทำโดยลงแผลผ่าตัดเต้านมเดิมเปิดช่องว่างบริเวณหลังกล้ามเนื้อหน้าอกจนเพียงพอที่จะ ใส่ถุงเต้านม วางตำแหน่งของสายยางและพอร์ตสำหรับเติมน้ำเกลือในตำแหน่งที่ติดกับผิวหนังเติมน้ำเกลือใน ปริมาณระดับหนึ่งก่อนและทำการเย็บปิดแผล หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ ทำการตัดไหมและเริ่มเติมน้ำเกลือน้อยๆ และมาฉีดเติมน้ำเกลือทุก 1 อาทิตย์ จนได้ขนาดที่ต้องการ การเติมน้ำเกลือเพื่อขยายผิวหนังใช้เวลา 4-8 อาทิตย์ เมื่อได้ขนาดที่ต้องการแล้วก็ใช้ถุงเต้านมนั้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนถุงเหมือนวิธีที่ 1
- อ่านต่อ ..การผ่าตัดที่ทำร่วมกับการเสริมสร้างเต้านม
|